
ใครที่อยากเดินป่า ดูวิวธรรมชาติสุดอลังการ ขับรถเที่ยวเองไปเรื่อยๆ ประเทศที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง ก็คือ นิวซีแลนด์ What Eat It เลยจะพาไป รีวิว เที่ยวนิวซีแลนด์ เกาะใต้ กัน ว่าจะสวยน่าประทับใจอย่างไร ตามไปอ่านกันเลย
New Zealand Road Trip ในฝันของใครหลายๆ คน รวมถึงเราด้วย เป็นอีกหนึ่งใน Bucket List ของเราเลย หลายๆคนอยากจะไปขับรถบ้านเป็น Road Trip ในฝันที่เก๋สุดๆ เราก็อยากไปขับรถบ้านเที่ยวแหละ แต่ไปกันแค่ 2 คน เช่ารถบ้านมันแพงอ่ะ เลยเช่ารถเก๋งขับแทน ฮ่าฮ่า
วันนี้เลยขอมา รีวิวขับรถ เที่ยวนิวซีแลนด์ เกาะใต้ ในฉบับที่ไม่เช่าขับรถบ้าน ขับรถเก๋งธรรมดา และนอนโรงแรมตลอดทั้งทริปนะคะ ไม่ต้องบรรยายกันให้ยืดยาว ไปเริ่มกันที่ โปรแกรมขับรถเที่ยวนิวซีแลนด์ เกาะใต้ กันก่อนเลย
ติดตามรีวิวที่กิน ร้านอร่อย กันต่อได้ที่
FB : whateatit
IG : whateatit.bkk
ใครอยากรู้ว่าต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง ไปอ่านข้อมูลก่อนเดินทางกันได้ที่ สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปนิวซีแลนด์
แพลนเที่ยวนิวซีแลนด์ เกาะใต้
ช่วงที่เราเดินทางเป็นช่วงสงกรานต์พอดี คือ วันที่ 8 เมษายน – 22 เมษายน 2019 แต่เราไม่ได้อยู่ที่ New Zealand ทั้งทริปนะคะ มีแวะไปเที่ยว Sydney Australia ก่อนกลับด้วย 2 วันค่ะ
Day 0 : BKK – Sydney – Christchurch
Day 1 : Christchurch
Day 2 : Christchurch – Castle Hills – Punakaiki – Hokitika
Day 3 : Hokitika – Franz Joseph – Twizel
(ตามแพลนเดิมต้องเป็น Hokitika – Franz Joseph – Fox Glacier แต่ว่าถนนปิดทำให้ต้องเปลี่ยนแพลน ขับรถย้อนเส้นทางเดิม)
Day 4 : Haast Pass – Wanaka
Day 5 : Wanaka – Queenstown
Day 6 : Queenstown – Te Anau
Day 7 : Te Anau – Milford – Queenstown
Day 8 : Queenstown – Mt.Cook Village
Day 9 : Mt.Cook Village – Lake Tekapo
Day 10 : Lake Tekapo – Akaroa – Christchurch
Day 11 : Christchurch – Sydney
รีวิวที่ Sydney เขียนแยกอีกบทความนะคะ
>>> เที่ยวซิดนีย์ ออสเตรเลีย
Day 11 : Christchurch – Sydney
Day 12 : Sydney
Day 13 : Sydney – BKK

ค่าใช้จ่าย เที่ยวนิวซีแลนด์ เกาะใต้ ทริปนี้
สรุปค่าใช้จ่ายที่เราใช้ไปในทริปนี้ เฉพาะเที่ยวที่นิวซีแลนด์ ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่ Sydney 3 วันนะคะ
งบที่ใช้ไปทั้งหมด 135,000 บาท / 2 คน เฉลี่ยแล้วคนละ 67,500 บาท (ตอนที่เราไปค่าเงินประมาณ 1 NZD = 21.5 บาท)
ค่าใช้จ่ายนี้ไม่รวมค่ากิจกรรมต่างๆ เช่น Bunjy Jump, ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปดู Glacier, ค่าขึ้น Gondola อันนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคนเลยว่าอยากทำกิจกรรมอะไรบ้าง บอกเลยว่าค่ากิจกรรมแต่ละอย่างราคาไม่ธรรมด๊า มีปาดเหงื่อ อิอิ มาดูรายละเอียดค่าใช้จ่ายแต่ละอย่างกัน
ค่าตั๋วเครื่องบินไปนิวซีแลนด์
เที่ยวช่วงสงกรานต์ทำใจเรื่องค่าตั๋วนิดนึง ของเราตั๋วไป-กลับประมาณคนละ 30,000 บาท อันนี้แล้วแต่ใครจะหาได้ราคาเท่าไหร่น้า เราบิน Qantas จากกรุงเทพ ไปลง Christchurch แต่ขากลับเราแยกเป็น Christchurch – Sydney และ Sydney – BKK แวะเที่ยว Sydney 2 วัน ซึ่งเราต้องขอวีซ่าออสเตรเลียแบบ Transit จะอยู่ที่ออสเตรเลียได้ 72 ชั่วโมงค่ะ เดี๋ยวไปเล่ารายละเอียดให้ฟังในรีวิวของ Sydney อีกทีนะคะ
ค่าวีซ่า
5,500 บาท เราขอแบบ Partner เราเป็นคนขอหลักและมีคุณสามีเป็น Partner จ่ายราคาคนเดียวได้วีซ่า 2 คนค่ะ
ค่าเช่ารถขับและค่าน้ำมัน
ค่าเช่ารถขับเอง : 10 วัน 10,500 บาท เราเช่าจาก Go Rentals ราคานี้รวมประกันแบบ Full Coverage คือ ประกันครอบคลุมทุกอย่าง
ค่าน้ำมัน : 11,000 บาท ขับทั้งหมด 3,160 กม. ที่ขับเยอะขนาดนี้เพราะว่าถนนปิด ทำให้ต้องขับย้อนหลายร้อยโลเลย
ค่าที่พัก
10 คืน ทั้งหมด 26,500 บาท / 2 คน โรงแรมที่เราจองประมาณ 2-3 ดาว เป็นห้องแบบ Private Bathroom ราคาก็เลยสูงหน่อย เนื่องจากผู้ร่วมทริปของเรา (นั่นก็คือคุณแฟนของเราเอง) ไม่สะดวกห้องน้ำรวม ฮ่าฮ่า ถ้าเป็นแบบห้องน้ำรวมจะถูกกว่านี้พอสมควร
ค่าอาหาร
22,000 บาท / 2 คน อันนี้เรากินอาหารที่ร้านอาหารเกือบทุกมื้อนะคะ ใครสะดวกทำกินเองประหยัดค่ากินไปอีกเยอะแน่นอน เพราะของสดที่ Supermarket ถูกมาก ส่วนเราขี้เกียจ ฮ่าฮ่า ไม่อยากหอบหิ้วของสดที่เหลือด้วยแหละ เอาเงินซื้อความสะดวก เปย์ไปค่ะ
หลังจากที่รู้ค่าใช้จ่ายที่เราใช้ไปแล้ว ทุกคนก็ลองตั้ง งบประมาณของตัวเองกันดูนะคะ ต่อไปเราจะเริ่มออกเดินทางกันแล้ว
Day 0 – 1 : BKK – Sydney – Christchurch
เราเดินทางด้วยสายการบิน Qantas และ Emirates จริงๆ เราจองผ่าน Emirates แหละ แต่ก็แล้วแต่ว่าเที่ยวที่เราบินตรงกับสายการบินไหน Operate ก็จะได้ขึ้นกับสายการบินนั้น
ทั้ง 2 สายการบิน นั่งสบาย สาวไซส์ธรรมดาสูง 160 อย่างเรา นั่งสบายมากค่ะ คุณแฟนเราสูง 183 ซม. ก็บอกนั่งสบายหายห่วง อาหารดี บริการโอเค มีตัวอย่างอาหารมาให้ดูหน่อยนึง อันนี้ตอนเย็น ตอนออกจากสุวรรณภูมิ

ไฟล์ทเราออกเดินทางจากสุวรรณภูมิ 18.10 น. ขาไปเราบินกับ Qantas หนังมีพากษ์ไทยให้ดูด้วย บิน 9 ชม. ไปถึง Sydney ตอน 06.25 น. รอต่อเครื่อง 1ชม. 25 นาที แต่เครื่องที่จะไป Christchruch ออกดีเลย์นิดหน่อย เราบินไป Christchurch โดย Emirates อีกประมาณ 3 ชม. ลงที่สนามบิน Christchurch ประมาณ 12.55 น. ตามเวลาที่นิวซีแลนด์ รวมเวลาเดินทางทั้งหมด 13 ชม. 45 นาที ช่างยาวนานเหลือเกินนนนน

ทีนี้ก็มาผ่าน ตม นิวซีแลนด์ ตรงที่ตรวจเอกสารไม่มีอะไรมาก ถามข้อมูลนิดหน่อย แต่ที่ซีเรียสเลย คือเรื่องอาหารที่เรานำเอาเข้าประเทศเค้านี่แหละ ย้ำอีกครั้งใครนำอาหารไปด้วย แจ้งเจ้าหน้าที่ให้เค้าตรวจเลยดีกว่า เพราะถ้าเราไม่สำแดง (declare) แล้วเค้าตรวจเจอเองเดี๋ยวจะโดนปรับเอา ส่วนของเราไม่พกอาหารไปเลย ผ่านได้สบาย
ตอนกำลังเดินออกมา ตรงแถว Duty Free ด้านใน เค้ามีขายซิมโทรศัพท์ ซื้อได้เลยนะ เพราะว่าถูกกว่าบูธด้านนอกหน่อยนึง เราซื้อของ Vodafone ซื้อ 10 GB ราคา 51 NZD และ 5 GB 43 NZD เอาจริงๆ ใช้ไม่หมดอ่ะ แต่เราไม่ได้ดูยูทูปนะคะ แพค 5 GB ก็ยังเหลือๆ เลย

ถ้าใครไม่ได้ซื้อด้านในไม่ต้องตกใจ ด้านนอกมีทุกยี่ห้อให้เลือก แต่ข้างนอกแพงกว่านิดนึง

ออกจากสนามบิน เราก็เดินไปตรงจุดขึ้น Shuttle Bus ของบริษัทเช่ารถ เค้าจะมีแจ้งมาในเมล์ว่าให้ไปรอตรงไหน เอาจริงๆก็เห็นทุกเจ้าก็มารับที่เดียวกันหมดนี่แหละ เราเช่ารถของ Go Rentals นั่งไปแปบเดียวก็ถึงที่รับรถ เราเช็คอินออนไลน์ กรอกข้อมูลต่างๆ มาครบล่วงหน้าเรียบร้อย แต่ยังไม่ให้ตัดบัตร มาจ่ายกับพนักงานทีเดียว
ได้รับรถเร็วมากไม่ต้องรอนาน แนะนำให้เช็คอินออนไลน์มาก่อนล่วงหน้า ประหยัดเวลาไปเยอะเลย ที่นี่รถใหม่ พนักงานบริการดีด้วย

ออกมารับรถกันเลย คันนี้อยู่กับเราไปตลอดสิบวัน ตรวจรถเรียบร้อย ออกเดินทางไปที่พักกัน ตัวเมืองห่างจากสนามบินประมาณ 20 นาที

คืนแรกเราพักกันที่ Energetic Healthy Homestay ที่ไครสต์เชิร์ช ถึงที่พักแล้วก็ งงๆ หน่อย หาทางเข้าบ้านไม่เจอ คืออันนี้จองผ่าน Agoda แต่เป็นที่พักเหมือน Airbnb คือเค้าแบ่งห้องในบ้านเค้าให้เช่า
บ้านที่เราพักเค้ามีเด็กด้วยนะ เด็กโตประมาณประถมแล้วหละ แต่เค้าอยู่กันเงียบมากกกก เงียบจนเราเกรงใจ ฮ่าฮ่า ไม่กล้าทำเสียงดังเลย ห้องน้ำก็เป็นห้องน้ำแยกสำหรับคนเช่า เจ้าของเค้าใช้อีกห้องนึง รวมๆแล้วโอเคกับราคามาก เพราะรู้สึกส่วนตัวดี อันนี้คือบรรยากาศที่พักค่ะ ราคาคืนละ 1,300 บาท

หลังจากทักทายเจ้าของเล็กน้อย วางของแล้วรีบออกมาเลย เพราะเราซื้อตั๋วขึ้น Gondola ผ่านทาง Bookme ไว้แล้ว เดี๋ยวจะไปไม่ทันเวลา
รีวิวเที่ยว Christchurch Gondola
มาถึงที่ Gondola พอดีเวลาเป๊ะ ซื้อดีลมาราคาถูกกว่ามาซื้อหน้างานเกือบครึ่งเลย ปกติคนละ 30 NZD ซื้อดีลมา 2 คน 38 NZD

ขอสารภาพก่อนว่า เลือกมาที่นี่เพราะคิดว่าหลังจากลงเครื่องแล้ว เวลาเหลือตลอดทั้งบ่าย เลยหาอะไรทำ ก็ไม่ได้คิดว่าที่นี่จะสวยอะไรมาก แต่พอขึ้นไปเท่านั้นแหละ โอ้โห…..อลังการมากจ้าแม่ นั่งกระเช้าขึ้นไปสูงพอสมควร พอดีชั้นเมฆเลยทีเดียว แล้ววันนี้เมฆเยอะด้วย เลยยิ่งสวยเข้าไปอีก

อ่ะ ไปดูวิวกัน…คือขึ้นไปเจอวิวที่แรกก็คุ้มละอ่ะ ถ่ายรูปอยู่บนนี้อย่างนาน คุ้มค่าตั๋วเลย แต่ลมแรงมาก อยู่ด้านนอกนานๆ ก็หนาวเอาเรื่องอยู่



ลงจาก Gondola เข้าไปในเมืองเดินเล่นนิดหน่อย แล้วก็ไปหาอะไรกินง่ายๆ แล้วก็กลับที่พัก นอนพักเอาแรง สำหรับเริ่ม Road Trip กันจริงๆ พรุ่งนี้
Day 2 Christchurch – Castle Hills – Punakaiki – Hokitika
ตื่นมาได้ยินเสียงเด็กๆ กำลังจะไปโรงเรียนพอดี คุณแม่เจ้าของบ้านก็ตื่นมาทำงานบ้าน โน่นนี่ เราก็อาบน้ำออกมาอีกที เค้าออกไปส่งลูกไป รร แล้ว แต่เตรียมอาหารเช้าง่ายๆ ไว้ให้เรียบร้อย พวกนม โยเกิร์ต ขนมปัง ซีเรียล แต่เรามีมาม่าคัพที่ไปช้อปมาเมื่อคืน กันเหนียวไว้ละ ครัวที่บ้าน เราสามารถใช้ได้เลยตามสบาย ใช้เสร็จก็ล้างเก็บให้เค้าเรียบร้อย เตรียมตัวออกเดินทาง

จุดหมายปลายทางที่เราจะขับรถเที่ยวในวันนี้ คือ Hokitika ระยะทางที่ต้องขับรถของวันนี้ประมาณ 350 กม.
ระหว่างทางเราจะแวะเที่ยวไปเรื่อยๆ จุดแรกที่ไม่พลาด The Famous Sheffield Pie Shop ร้านพายชื่อดังกันก่อน ขับรถมาจาก Christchurch ประมาณ 40 นาทีก็ถึงแล้ว

มาถึงร้านข้าวเช้ายังไม่ย่อยเลย แต่ด้วยความอยากกิน อะไรๆ ก็น่าลองไปหมด เราเลยสั่งมา 3 ชิ้น สรุปกินไปได้แค่ชิ้นเดียว ฮ่าฮ่า ชิ้นใหญ่และไส้แน่นมาก อร่อยด้วย ใครผ่านมาอย่าลืมมาลองกันนะ ส่วนอีก 2 ชิ้นเอาไว้เป็นมื้อกลางวันแล้วกัน


Castle Hill
ห่างจากตัวเมือง Christchurch ประมาณ 1 ชม.ครึ่ง ที่นี่มีอะไร? ที่นี่ไม่มีอะไร มีแต่หิน แต่หินก้อนใหญ่อลังการดี เดินขึ้นไปด้านบน ดูวิวก็โอเคดี



จากนั้นเราก็ขับกันยาวๆ ไปที่ Pancake Rock ขับจาก Castle Hill ไปประมาณ 2 ชม. 30 นาที ระหว่างทางเราจะผ่าน Authur’s Pass เป็นจุดชมวิว และมี Track สั้นๆ เดินไปดูน้ำตก Devil’s Punchbow แต่ว่าตอนเราผ่านแถวนั้นฝนตกหนักมาก เราเลยไม่ได้แวะ แล้วก็ถ้าใครอยากแวะหามื้อกลางวัน แนะนำแวะที่เมือง Greymouth ก็ดีนะ เพราะมีร้านค่อนข้างเยอะ คือเราเนี่ยขับผ่านเมืองไปกะจะไปหาเอาข้างหน้า แต่เลยไปแล้วแทบไม่มีร้านให้แวะกินข้าวเลย ^ ^”
Punakaiki Pancake Rock
แล้วเราก็มาถึงที่หมาย ไฮไลท์ของที่นี่คือมาดูหินที่เรียงเป็นชั้นๆ เหมือน Pancake อันนี้อ่านมาจากป้าย เค้าบอกว่า หินที่เราเห็นเป็นหินปูนที่เกิดจากการทับถมซากพืชซากสัตว์ใต้ทะเลมานานถึง 30 ล้านปี และจากการเคลื่อนไหวและสั่นสะเทือนของพื้นโลก ทำให้พื้นใต้ทะเลโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นดินอย่างที่เราเห็นกัน หินสวยแปลกตามากๆ


นอกจากมาดูหินชั้นๆ แล้ว อีกจุดไฮไลท์ คือ Blowhole จะมีละอองน้ำพุ่งขึ้นมาจากช่องระหว่างหิน เพราะเป็นแรงดันจากน้ำทะเลข้างล่าง แรงดันน้ำแรงมาก ทำให้น้ำพุ่งขึ้นมาถึงข้างบนได้เลย เล็งอยู่นานกว่าจะถ่ายรูปตอนน้ำพุ่งขึ้นมาพอดี


เดินเล่นจนหมดแรง ฝั่งตรงข้ามทางเข้ามีคาเฟ่ด้วยแหละ มาถึงนี่ละ เลยลอง Pancake ซักหน่อย รสชาติโอเค เยอะด้วย ชิ้นใหญ่มาก อิอิ

แถมอันนี้อีกหน่อย ในภาพขาวๆฟุ้งๆ ภาพไม่ได้มัวนะ แต่เป็นละอองน้ำจากคลื่นของน้ำทะเล คลื่นและลมแรงเว่อร์ ไปยืนดูอยู่พักใหญ่ คือมันสวยอย่างบอกไม่ถูก รูปนี้เราถ่ายมาจากชายหาดก่อนถึงทางเข้า Pancake Rock

จากนั้นก็ขับย้อนทางเดิมไป Hokitika ระยะทาง 84 กม. ขับประมาณ ชม. นิดๆ ระหว่างทางก็ฝนตกตลอด ไปถึงก็เกือบค่ำแล้ว เข้าที่พักเสร็จก็เลยออกไปดู Glow worm ซักหน่อย อยู่ไม่ไกลที่พักมาก
Glow worm เป็นหนอนเรืองแสงตามชื่อเลย เราไปดูตรง Grow Worm Dell ก็งงๆ เอาจริงๆ เข้าไปแล้วเป็นต้นไม้ๆ แล้วก็มืดมาก เพราะเย็นแล้วแถมฝนตกอีก เดินเข้าไปไกลมาก หาไม่เจอ สรุปคือ วนกลับมาตรงทางเข้า เราเห็นเป็นแสงน้อยๆ คือเห็นอยู่แค่ 2 ตัว โอเคเห็นละสบายใจ ฮ่าฮ่า เราก็ไม่แน่ใจว่า ปกติมันมีเยอะแค่ไหนนะ

และหลังจากนั้นฝนก็ตกหนักมาก เราก็เลยไม่ได้ไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Hokitika Beach อดไปถ่ายรูปคู่กับสัญลักษณ์ของเมืองเลย ไหนๆ ก็ฝนตกละ ไปหาของกินแทนแล้วกัน คืนนี้เราฝากท้องไว้ที่ Fat Pipi Pizza สำหรับเราถือว่ารสชาติกลางๆ ไม่ดี ไม่แย่ อาจจะแล้วแต่ว่าสั่งหน้าอะไรด้วยแหละ กินอิ่มกลับที่พักได้

ที่พักคืนนี้ Hokitika Pioneer Hotel ที่นี่เป็นแบบห้องนอนแยก แต่ห้องน้ำรวม โรงแรมนี้จองพลาด เพราะเราต้องการแบบห้องน้ำในตัว ฮ่าฮ่า แต่ก็ไม่วุ่นวายอะไร เพราะมีห้องพักอยู่แค่ไม่กี่ห้อง ในห้องมีอ่างล้างหน้า มีครัวส่วนกลางเล็กๆ ราคาห้องคืนนี้ 1,600 บาท


Day 3 Hokitika – Franz Joseph – Twizel
จริงๆ วันนี้ที่หมายของเราคือ Fox Glacier แต่เราไปถึงได้แค่ Franz Joseph เพราะสะพานที่เป็นทางผ่านจะไป Fox Glacier พังและปิดซ่อมอยู่ เราเพิ่งมารู้เมื่อวานตอนเสิร์ชดูเส้นทางนี่แหละ ว่ามันปิด
ทำให้เราต้องเปลี่ยนแผน ขับย้อนกลับทางเดิม และอดเที่ยวหมดทั้ง Franz Joseph, Fox Glacier, Lake Matheson อดๆๆๆๆๆ ร้องไห้หนักมาก เพราะเค้าบอกว่าอีกหลายวันเลยกว่าจะซ่อมเสร็จ

แต่ที่เรายังต้องไปที่ Franz Joseph เพราะเราจอง Helicopter ขึ้นไปดูวิว Glacier ไว้ล่วงหน้าแล้ว งกไง จองมาก่อนมันถูกกว่าเยอะเลย เราขับรถไปประมาณ ชม. กว่า จนถึง Franz Joseph แล้ว
แต่….ฝนตกแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ถาม จนท เค้าบอกว่าเร็วสุดน่าจะขึ้นได้ตอนบ่ายๆ ตอนแรกก็จะรอแหละ แต่ดูทีท่าและดูพยากรณ์อากาศแล้วน่าจะไม่รอด เราก็เลยขอ Refund เงินคืน
การซื้อดีลอะไรก็แล้วแต่ที่สภาพอากาศมีผลต่อกิจกรรมนั้นๆ ทำให้เราทำกิจกรรมนั้นไม่ได้ เราสามารถ Refund ได้เต็มจำนวนนะ อันนี้ควรอ่านในเงื่อนไขก่อนจองให้ละเอียดด้วยนะคะ แต่ส่วนมากจะ Refund ได้หมด

วันนี้แผนของเราเลยไม่มีอะไรมาก ขับย้อนเส้นทางไปให้ไกลที่สุด เท่าที่จะขับไหว เพราะว่าเราจองโรงแรมของคืนต่อๆ ไปไว้แล้ว ส่วนโรงแรมของคืนนี้จองไว้ที่ Fox Glacier ก็ต้องยอมทิ้งไปเลย แต่ขับไกลยังไงก็ไม่เบื่อ เพราะวิวข้างทางสวยจริงๆ ถึงแม้หมอกจะลงเยอะก็เถอะ

ระหว่างขับรถอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็เห็นข้างทางเค้าแวะอะไรกัน อ้อ…นี่เราถึง Arthur’s Pass แล้วหรอเนี่ย เอ้าแวะน้ำตกสักหน่อย ฝนก็ตกนะแต่ไม่หนักเหมือนที่เราผ่านเมื่อวาน…คือรีบนะ แต่ยังจะแวะมาเดิน Track ฮ่าฮ่า เห็นน้ำตกมาแต่ไกล มันอดใจไม่ไหวจริงๆ

เราจะเดิน Devils Punchbowl Walking Track เพื่อไปดูน้ำตกกัน เส้นนี้เดินไม่นานมาก เราเดินไปกลับน่าจะ 40 นาที อันนี้รวมแวะถ่ายรูประหว่างทางแล้ว


น้ำตก น้ำแรงมาก ทั้งคนทั้งกล้องเปียกพอประมาณ

จากนั้นก็ขับกันยาวๆ สลับกันขับ สลับกันหลับ จนไปถึง Twizel ช่วงค่ำๆ สิริรวมวันนี้ขับรถแต่เช้า จาก Hokitika – Franz Joseph – Twizel รวม 730 กม. เบาๆ เหมือนขับรถไปเที่ยวเชียงใหม่ ฮ่าฮ่า
มาถึง Twizel ก็หา walk in จนมาได้ที่พักที่ High Country Lodge and Backpackers ห้องแพงเลยคืนนี้ เพราะมีแต่แบบห้องใหญ่ แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้วอ่ะนะ สองทุ่ม ขี้เกียจหาแล้ว ชั้นหิวข้าว T^T ห้องพักคืนนี้โดนไป 3,200 บาท

Day 4 Haast Pass – Wanaka
เช้าวันใหม่ เรายังคงขับย้อนเส้นทางขึ้นไปให้ถึงสถานที่ที่เราแพลนไว้ตั้งแต่แรก นั่นก็คือช่วง Haast Pass มีที่ให้แวะหลายจุดเลย แต่ก่อนเราจะไปถึงที่เที่ยว แวะหม่ำแซลมอนเจ้าดังที่ Twizel กันก่อน High Country Salmon เป็นร้านที่ทุกคนต้องมาโดนแน่นอน นอกจากมีอาหารแล้ว ที่นี่เป็นฟาร์มเลี้ยงปลาแซลมอนด้วย

มีแซลมอนและอาหารให้เลือกหลายอย่าง แซลมอนสดมันดีต่อใจมาก พริ้มมมมม

จัดไปชุดใหญ่ เอาให้อิ่มกันแบบจุกๆ รสชาติโอเคทุกอย่าง ยกเว้นข้าวหน้าแซลมอน ตอนแรกนึกว่าต้องเป็นข้าวญี่ปุ่น แน่ๆ สรุปเป็นข้าวธรรมดาเลย แหะๆ

นอกจากแซลมอนสดๆ แล้ว ยังมีกระชังปลาแซลมอนให้เราให้อาหารปลาแซลมอนได้ฟรี แล้วก็มีเป็ดน้อยว่ายน้ำให้ดูเล่นเพลินๆ ด้วย

หลังจากกินอิ่มเรียบร้อย เรามุ่งหน้าไป Haast Pass กันเลย วันนี้เรียกได้ว่าเป็น Waterfall Day แวะน้ำตกจนงง ว่าอันไหนเป็นอันไหน ฮ่าฮ่า แต่ละที่ไม่ไกลกันมาก จอดแวะได้เรื่อยๆตลอดทาง
มาแถวนี้ระวัง Sand Flies กันหน่อยนะ เป็นแมลงตัวไม่ใหญ่ กัดแล้วเจ็บๆคันๆ เรานี่เป็นรอยแผลจากการเกาอยู่นานเลยกว่าจะหาย งือๆ อ่ะ…เรามาเริ่มจากที่แรกกันเลย
Roaring Billy Falls
Track นี้ต้นไม้สวยมาก มาที่นี่เพราะทางตอนเดินเข้าไปน้ำตกเลยแหละ ต้นไม้สวยสมใจ เพราะน้ำตกข้างในแทบไม่มีน้ำเลยจ้า เส้นนี้เดินไปกลับประมาณ 1 กม.


นั่นไง น้ำตกไกลๆ ลิบๆ หาเจอกันมั้ย

Thunder Creek Falls
เราว่าน้ำตกอันนี้อลังการสุดของทุกอันที่แวะเลย เดินใกล้มากด้วย ไปกลับแค่ 10 นาทีเอง

Fantail Falls
เดินใกล้มากไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงน้ำตกแล้ว ช่วงที่เราไป ฝนไม่ค่อยตก น้ำที่น้ำตกก็เลยน้อยมาก


Blue Pools walk
Track นี้น่าจะเป็นอันที่เดินไกลสุด ไปกลับประมาณ 1 ชม. น้ำสีฟ้าสดใส สมชื่อ Blue Pools มากๆ



หลังจากนั้นก็ขับรถกันต่อ จบทริปของวันนี้กันที่ Wanaka เข้าที่พักตามแพลนเดิมที่เราจองไว้ ก่อนเข้าที่พักเราแวะไปแอบดู That Wanaka Tree กันนิดนึง
That Wanaka Tree

ตรงจุดนั้นคือคนเยอะมากๆ ตากล้องทั้งหลายแบกขาตั้งกล้องไปเก็บภาพพระอาทิตย์ตกกันอย่างหนาแน่น แต่…วันนี้ฟ้ามัวมาก แทบไม่เห็นพระอาทิตย์ตกเลย หลังจากไปดูต้นไม้เรียบร้อย พร้อมหน้าชาๆ ที่ต้องปะทะแรงลมเย็นๆ ตรงริมทะเลสาบ เราก็ตรงกลับที่พักกันเลย

ที่พัก ที่ wanaka วันนี้ชื่อ Manuka Crescent Motel ที่พักเล็กๆ มีไม่กี่ห้อง แต่ห้องใหญ่ เครื่องอำนวยความสะดวกครบ คืนละ 2,700

เข้าที่พักเรียบร้อยก็เข้าตัวเมืองไปหาอะไรกินกันดีกว่า ตัวเลือกของวันนี้คือ อาหารอินเดีย คือเราเป็นคนชอบกินอาหารอินเดียอยู่แล้วอ่ะนะ แล้วร้านนี้ Rating ดูดีมากทีเดียว ร้านชื่อ The Spice Room

พนักงานถามว่าคนจีนหรือเปล่า จะเอาเมนูภาษาจีนมาให้ เราบอกไม่ใช่ เค้าถามมาจากไหน บอกไทยแลนด์ พนักงานหน้างงหนักมาก ถามซ้ำ 2-3 รอบ และส่งเมนูภาษาอังกฤษให้เหมือนเดิม ฮ่าฮ่า สั่งมาเมนูพื้นฐาน เอาปลอดภัยไว้ก่อน กินได้ชัวร์ ผลคือ รสชาติดีเลยอ่ะ

กินเสร็จ เดินเล่นริม Lake Wanaka ซักนิด โอ๊ยบรรยากาศดีเว่อร์ เสียดายนอนที่นี่แค่คืนเดียว ที่นี่เหมาะกับการไปนั่งชิลริมทะเลสาบมากๆ เดินเล่นนั่งชิลริมทะเลสาบหนาวๆ ได้สักพัก กลับที่พัก นอนเอาแรง พรุ่งนี้เราจะไปเดินขึ้นเขา (Roys Peak) กันทั้งวันนะจ๊ะ


Day 5 Roy’s Peak, Wanaka – Arrowtown – Queenstown
ครึ่งเช้าวันนี้เรามีแพลนไปพิชิต Roy’s Peak Track, Wanaka กัน ที่นี่ คือที่ที่อยากมาที่สุดของทริปนี้เลย วางแผนว่าจะไปเริ่ม Track กันตั้งแต่เช้าตรู่ แบบไม่เกิน 6 โมงครึ่ง แต่โน่นนี่นั่นไปสายจ้า เริ่มเดินกันตอน 07.30 น. ระยะทางที่เราต้องเดินวันนี้ ไปกลับทั้งหมด 16 กม. เดินขึ้นไปบนยอดเขา ซึ่งเรามองขึ้นไปก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตรงไหน แหะๆ
ใช้เวลาเดินไปกลับทั้งหมด 5.30 ชม. อันนี้รวมเวลานั่งชมวิวที่ยอด Roy’s Peak แวะถ่ายรูป และต่อแถวถ่ายรูปที่ Viewpoint เรียบร้อย แต่เราเดินแบบไม่ได้พักระหว่างทางเลยนะ

การเตรียมตัว เมื่อวานดูพยากรณ์อากาศไว้แล้ว แดดเปรี้ยงเลย สิ่งที่ควรพกมาด้วย คือ แว่นกันแดดและหมวก และอย่าลืมพกเสบียงและน้ำดื่มกันไปด้วยนะ ไม่มีอะไรขายทั้งนั้น อยากพักตรงไหนก็จอดแวะนั่งเติมพลังที่ข้างทางได้ตามสะดวก ห้องน้ำก็มีแค่ 2 จุดคือตรงทางขึ้นกับตรง viewpoint นะคะ
อ้อ…อีกหนึ่งสิ่ง เอาเพลงใส่มือถือไปด้วย จะได้เดินฟังเพลินๆ ตอนเดินขึ้น ไม่ต้องคุยกับคนข้างๆ นะ เก็บแรงไว้หายใจเถอะเชื่อเรา ฮ่าฮ่า เดี๋ยวค่อยคุยกันตอนขาลง ฮี่ฮี่

ขาเดินขึ้นไปช่วงแรกๆ ไม่เท่าไหร่หรอก เพราะว่าแดดยังไม่แรง เดินไป 1 ชม.แรก เดินขึ้นไปนิดเดียวก็วิวสวยมากๆ แล้ว เรานี่หยุดถ่ายรูปทุก 5 นาที จริงๆ คือเหนื่อย ฮ่าฮ่า

เดินมาซักพัก เราก็เดินผ่านชั้นหมอก แบบเดินฝ่าหมอกกันเลย ฟินมากจ้า

พอเดินผ่านชั้นหมอกได้เท่านั้นแหละ แดดเปรี้ยงเลย อุณหภูมิ 10 องศาไม่ช่วยอะไรเลยจริงๆ กรีสสสสสส หน้าไหม้กันไป

ผ่านไป 2 ชม. เราถึง Viewpoint มุมมหาชนของ Roy’s Peak เราแวะนั่งพัก กิน Energy Bar แล้วเราก็คุยกันว่า รีบๆเดินไปให้ถึงยอดเร็วๆ ดีกว่า เดี๋ยวค่อยแวะกลับมาถ่ายรูปตรง View Point แต่ก่อนจะไปเราแอบแวะถ่ายแปบนึงก่อน 1 รูป กันเหนียวไว้ก่อน และดีที่ถ่ายไว้เพราะขากลับลงมาคนเป็นล้าน ต่อแถวยาวเลย ทริปนี้ได้รูปนี้แล้ว ถือว่าคอมพลีท

ส่วนมากคนจะอยู่กันตรงแค่ Viewpoint ไม่ขึ้นไปถึงจุดยอดสุดของ Roy’s Peak แต่เราก็เข้าใจ เดินขึ้นมาแค่ Viewpoint ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว แต่เรามาแล้ว มันต้องไปให้สุด เดินต่อไปอีก 30 นาที เพื่อไปให้ถึงยอด โอ้โห….ไม่น่าขึ้นมาเลย ทางชันมากๆๆๆ แต่หลวมตัวมาแล้ว จะกลับตัวก็ไม่ทันละ
ในที่สุดก็ลากร่างขึ้นมาถึงยอดจนได้ Peak ของ Roy’s Peak ที่แท้จริง ถ่ายรูปกันหนำใจ พักจนหายเหนื่อย


แล้วเราก็เดินลงไปที่ Viewpoint เก็บรูปเพิ่มซักหน่อย ขากลับลงมา แหม่…แถวยาวเลยจ้า ไปต่อแถวถ่ายรูปอยู่นาน แต่รูปที่ได้ไม่ค่อยสวยละ เพราะว่าคนมาอยู่ตรงนั้นเยอะเลย รูปตรงมุมฮิตแบบมีเรายืนคนเดียวเก๋ๆ เลยได้มาแค่ 1 รูปตอนขาขึ้นไปเมื่อกี้ อะเคร…พอแล้วก็ได้ T^T

ทางที่เราเดินขึ้นมามันช่างวกวน อ้อมไป อ้อมมา มองลงไปแล้ว นี่ชั้นเดินขึ้นมาได้อย่างไร ฮ่าฮ่า

ขาเดินลงทรมานมาก เพราะว่าหันหน้าเข้าแดด แล้วแดดหลัง 11 โมงเช้า แดดแรงมาก ขาลงนี่จ้ำอย่างเดียว อยากถึงรถเร็วๆ แล้ว ร้อนจนจะสุก เดินถึงด้านล่างประมาณบ่ายโมง ผลจากการเดินเขาวันนี้นั้น ก้นระบมไปอีก 2 วัน ฮ่าฮ่า แต่วิวคุ้มค่ามากมาย ใครเดินไหว ไม่อยากให้พลาด

หลังจากนั้น เราก็แวะเข้าเมือง Wanaka ไปหาของกินเติมแรงกันหน่อย แวะที่ Big Fig ร้านนี้แนะนำให้มาเลย ส่วนตัวเราชอบมากอ่ะ เป็นอาหารแบบ Healthy Food ร้านอยู่ริม Lake Wanaka หาไม่ยาก เราสามารถเลือกไซส์จาน แล้วก็เลือกเนื้อได้ 1 เมนู พร้อมสลัดต่างๆ สำหรับเราจานเล็กนี่ก็อิ่มละนะ

หน้าตาอาจจะไม่ค่อยงาม ดูเละๆ ปนๆ งงๆ แต่อร่อยเด้อ อาหารเค้าจะเปลี่ยนๆ ไปเรื่อยๆ เมนูไม่ตายตัว อันไหนหมดก็มีเมนูใหม่มาเติม แล้วแต่ว่าตอนเราเข้าไปจะเจอเมนูไหน มื้อเช้าอาหารจะมีให้เลือกน้อยกว่ามื้อเที่ยง


แล้วเราก็ขับรถมุ่งหน้าไปที่ Arrowtown กัน Arrowtown จะถึงก่อน Queenstown นิดนึง ขับรถจาก Wanaka ประมาณ 1 ชม. ระหว่างทางแวะถ่ายรูปที่ Arrow Junction Lookout Point กันแปบนึง วิวดีมาก

แวะเดินเที่ยวที่ Arrowtown
หาไอติมกินกัน เมืองเล็กๆ น่ารักดี แต่ทัวร์ลงเยอะมาก


ร้านแรกเราแวะที่ร้าน The Shed Ice Cream เป็นร้านเล็กๆ อารมรณ์ประมาณร้านเก่าแก่ของที่นี่ มีไอติมให้เลือกไม่กี่รส หลังจากที่ได้ลองชิมแล้ว ก็เฉยๆ นะเราว่า


ไปลองไอติมอีกร้านกันต่อ เดินผ่านแล้วเห็นคนเยอะมาก ร้าน Patagonia เป็น Gelato Ice Cream มีรสให้เลือกเยอะมากๆ มีช็อกโกแลตขายด้วย ไอติมอร่อย รสชาติเข้มข้น เหนียวหนึบ ลูกใหญ่มากด้วย กิน 2 คนอิ่มๆ เลย

หลังจากเดินเล่น ถ่ายรูปกันอยู่ในเมืองเกือบๆ 2 ชม. เดินทางไปต่อกันที่ Queenstown ที่พักวันนี้ของเรา ขับรถแค่ประมาณครึ่งชม. ก็ถึง Queenstown แล้ว
Queenstown
วันนี้เราพักกันที่ Queenstown TOP 10 Holiday Park มีบริการทั้งห้องพักและ Campsite ห้องที่เราพักคืนนี้ ราคา 3,100 บาท ห้องมีไมโครเวฟ ตู้เย็น กาน้ำร้อนให้ครบ ถ้าใครอยากทำกิจกรรมอะไรใน Queenstown ติดต่อที่ Reception ให้เค้าจองให้ได้เลย มีขายทุกกิจกรรม

Skyline Queenstown
เก็บของเรียบร้อย เรารีบไปที่ Skyline กันเลย เรียกว่าเป็น The must ของ Queenstown เลยทีเดียว รีบบึ่งรถไปอย่างไว เพราะว่าเริ่มเย็นแล้ว เดี๋ยวเล่น Luge ไม่ทัน อันนี้เราซื้อ Deal มาก่อนล่วงหน้าเหมือนเดิม เป็นแบบ Dinner + Gondola + Luge 2 รอบ ซื้อมาคนละ 219 NZD ถ้าซื้อรอบมื้อกลางวันจะถูกกว่านี้เยอะเลย

ไปถึงที่รับตั๋ว เราสามารถเอา Voucher แสดงให้เจ้าหน้าที่ดูเพื่อแลกเป็นตั๋วจริงได้เลย จะได้ตั๋วมา 2 ส่วน Luge กับ Gondola

นั่ง Gondola ไม่นานเราก็ถึงด้านบน รีบไปเล่น Luge กันก่อนพระอาทิตย์จะตก รอบแรกจะได้เข้าเลนคนที่ไม่เคยเล่น จะมีเจ้าหน้าที่มาสอนให้เราทดสอบก่อนว่าเบรกเป็นมั้ย ควบคุมรถได้มั้ย แล้วเค้าก็จะปล่อยเราเข้าสนาม รอคิวนานพอสมควร

รอบ 2 เราสามารถเข้าเลนสำหรับคนที่เล่นแล้วได้เลย รอบนี้จะไม่ต้องรอคิวนานแล้ว มาถึงขึ้น Luge ไปโลด พอได้เล่นแล้วเสียดายไม่น่าซื้อมาแค่ 2 รอบเลย มันสนุกมาก สนุกกว่าที่คิดไว้เยอะเลย แต่เล่นเสร็จ มือชา หน้าชา ปากสั่นหงึกๆ หนาวบรื๋อ

เล่นเสร็จไปกินข้าวกันได้ ไปถึงก็ไปแจ้งเค้าว่าเราจองไว้กี่โมง (ตอนเราซื้อ Deal เค้าจะให้ระบุเวลา Dinner เลย) แล้วเราก็จะได้ Pager ที่เอาไว้เรียกคิว นั่งรอ…ร๊อ…รอ ประมาณครึ่งชม. คนที่รอเยอะมาก ทัวร์ก็เยอะมากด้วย ออกมาถ่ายรูปวิวระหว่างรอคิว

อาหารเป็นบุฟเฟ่ต์นานาชาติ มีให้เลือกเยอะ สำหรับเรารสชาติโอเค แต่ไม่ได้ว้าวมาก ส่วนของหวานอร่อย มีไอติมเหมือนไอติมผัดบ้านเรา จ่ายเงินมากินบรรยากาศ ดูวิว Queenstown ยามค่ำคืน แต่วันนี้เรากินได้ไม่ค่อยเยอะ เพราะเพลียมากจากการเดินเมื่อเช้า (Roy’s Peak) อยากกลับไปนอนมากกว่า ฮ่าฮ่า กินเสร็จ อิ่ม เรียบร้อย กลับที่พัก สลบเป็นตาย

Day 6 Queenstown – Te Anau
เช้านี้จริงๆ เราจอง Sky Diving ไว้รอบเช้า แต่อากาศไม่เป็นใจ ฟ้าครึ้มมาก ก็เลยไม่ได้โดดร่มเลยขอ Refund เงินตามระเบียบ คิวก็เลยว่าง เราเลยแวะไปที่ Kawarau Bridge เพื่อไปดูเค้าโดด Bungy Jump กัน
Aj Hackett Bungy Kawarau Bungy Centre
ข้บรถออกจาก Queenstown ไปประมาณ 20 นาที ก็ถึง Aj Hackett Bungy Kawarau Bungy Centre Queenstown เป็นที่โดด Bungy Jump เชิงพาณิชย์ที่แรกในโลก เราก็เลยไปขอดูซักหน่อย

อันนี้ออกตัวก่อนว่า ตอนแรกจะมาดูอย่างเดียว ไม่คิดว่าจะโดด แต่พอมาถึงดูเค้าโดดกันแล้วอยากลองบ้าง เรื่องของเรื่องคือเสียใจที่ไม่ได้ Sky Diving เลยต้องหาอะไรทดแทน

เราเลือกแบบโดดคู่ คือโดดไปพร้อมกันนี่แหละ ราคาไม่ลดนะ ราคาค่าโดด Bungy Jump คนละ 205 NZD โดดแพคคู่ก็คูณ 2 และมีค่าซื้อรูปกับ VDO อีก 80 NZD โดดด้วยกันนอกจากจะมีเพื่อนเสี่ยงตายด้วยแล้ว ก็ได้ประหยัดค่ารูปนี่แหละ เพราะว่าโดดพร้อมกัน ซื้อรูปจ่ายแค่คนเดียว อันนี้เค้าไม่บังคับนะ โดดแล้วไม่อยากได้รูปก็ไม่ต้องซื้อกะได้ อิอิ

ตอนโดดลงไป ไม่น่ากลัวเท่าตอนที่ยืนอยู่ตรงจุดกระโดด มองไปด้านล่างแล้วจะเป็นลม หวิวมาก ตอนนั้นรู้สึกเลยว่า ชั้นมาทำอะไรตรงเน้… ถ้าโดดคู่กันแบบเรา เจ้าหน้าที่เค้าจะบอกว่า ห้ามโดดนะ ให้ทิ้งตัวลงไปเฉยๆ แล้วก็เอามือโอบหลัง จับ Harness ของอีกคนไว้ ห้ามปล่อย
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ไม่สนใจอะไรแล้ว นับ 3 2 1 อ่ะไปก็ได้แว้…ทิ้งตัวลงไป จากนั้นภาพตัดไปเลยจ้า รู้ตัวอีกที ห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศแล้ว เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่อยากให้ทุกๆ คนได้ลอง ฮี่ฮี่

Te Anau Glowworm Caves
เสร็จเรียบร้อยรีบบึ่งรถไป Te Anau ขับรถจาก Queenstown ไปประมาณ 2 ชม. เราซื้อ Deal ทัวร์ Glow Worms เอาไว้ตอน 14.00 น. ทัวร์อันนี้น่าจะมีเจ้าเดียว คือของ Real Journeys
ไปถึงแบบเฉียดฉิวมาก ถึงก่อนเวลาเรือออกแค่ 5 นาที โดนเจ้าหน้าที่บ่นเล็กน้อย แหะๆ ไปทัวร์อันนี้เราไม่ได้ถ่ายรูปมานะคะ ตอนเค้าพาเดินบนเกาะถ่ายรูปได้ แต่ในถ้ำเค้าห้ามถ่ายรูป เราเลยเอารูปจากอากู๋มาฝากแทน หน้าตาเรือที่นั่งไปเป็นลำใหญ่แบบนี้เลย ค่าทัวร์คนละ 196 NZD ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.

ทัวร์จะพานั่งเรือไปที่เกาะ เพื่อเข้าไปดู Glow Worms ในถ้ำ โดยรวมเราว่าโอเคเลยนะ ถึงแม้ Glow Worms จะไม่ได้อลังการแบบมีเยอะมาก ในถ้ำก็สวยดี ทางเดินทำไว้อย่างดีเดินสะดวก ตอนเข้าไปดู Glow Worms คือล่องเรือเข้าไปมืดมาก มืดจนปวดตาเลยอ่ะ เพื่อจะได้มองเห็นหนอนน้อยเรืองแสงได้ชัดๆ

เจ้าหน้าที่ดูแลดีตลอดทริป ที่ว้าวคือได้รับความรู้เกี่ยวกับเจ้าหนอนเรืองแสงนี่แหละ กว่ามันจะโตมานี่ใช้เวลายาวนานมาก ก็ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง ฮ่าฮ่า

กลับมาถึง Te Anau ไปหาข้าวกิน เตร็ดเตร่เดินเล่นริมทะเลสาบอยู่แปบนึงก็ไปเข้าที่พัก
ที่พักคืนนี้เป็นครึ่งทางก่อนจะไป Milford Sound ในวันพรุ่งนี้ วางแผนตอนแรกเรากะว่าจะขับรถมาจาก Queenstown แต่ว่ามันไกลพอสมควร ขี้เกียจตื่นเช้า เลยเลือกที่จะพักที่ Te Anau แทนดีกว่า
ที่พักวันนี้ Fiordland National Park Lodge ราคา 2,100 บาท ที่พักมี Common Room และครัวกลางให้

Day 7 Te Anau – Milford Sound – Queenstown
ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อรีบไป Milford Sound เพื่อจะไปล่องเรือกัน ระหว่างทางจะต้องผ่าน Homer Tunel เป็นอุโมงค์ที่เป็นทางแบบเดินรถทางเดียวที่ยาวเป็นกิโลเลย ถ้าเราไปตอนไฟแดงพอดี ต้องรอนานมาก นานแบบจอดรถข้างทาง แวะถ่ายรูปวิวแถวนั้นได้สบาย แถวนี้เค้าชอบเจอนก Kea กัน แต่ตอนเราไปไม่เห็นวี่แววเลย

เราซื้อ Deal ไว้รอบแรกเลย ตอน 9 โมงเช้า เพราะว่าไม่อยากเจอคนเยอะ เราซื้อทัวร์ของ Real Journey ล่วงหน้าไปเรียบร้อย ผ่านทาง Bookme เหมือนเดิม ราคาประมาณ 40 NZD จริงๆ มีการล่องเรือแบบหลากหลายมาก ยิ่งเรือเล็กราคาจะสูงขึ้น เพราะจะได้ล่องเรือแบบใกล้ชิดธรรมชาติมากกว่า คนก็ไม่เยอะมาก ส่วนเรือของเรานั้นลำใหญ่มากจ้า

แล้วก็ได้ล่องเรือแบบคนไม่เยอะสมใจ รอบที่เราไปทั้งลำไม่น่าจะเกิน 30 คน เริ่มเดินทางกันได้ เรือออกตรงเวลาเป๊ะ เรือแล่นไปในทะเลสาบที่ล้อมรอบด้วยภูเขา มีแวะให้เราดูโน่นนี่ใกล้ๆ กับหน้าผาบ้างเล็กน้อย

และไฮไลท์ของการล่องเรือ คือ การดู Stirling Falls ตอนแรกมองไกลๆ ก็ธรรมดานะ แต่พอเข้าไปใกล้ๆ มันอลังการเว่อร์วังมากจริงๆ ตรงช่วงนี้เรือจะเข้าไปใกล้น้ำตกเพื่อให้เราถ่ายรูป ถ้าอยากได้รูปคู่น้ำตก บอกเลยว่าต้องเตรียมตัวให้พร้อม และกดชัตเตอร์รัวๆ มันเร็วมากค่ะคุ๊ณณณณณ


มีแอบได้เห็นน้องอุ๋งๆ นิดนึง แต่เห็นไกลๆ ให้พอชื่นใจ

แล้วเรือก็แล่นกลับมาที่ท่าเรือจุดเดิม อ้อ…อากาศตอนล่องเรือถ้าไปอยู่ตรงดาดฟ้า ยืนรับลมสวยๆ อย่าลืมถุงมือกับเสื้ออุ่นๆหน่อย หนาวใช้ได้เลยทีเดียว

หลังจากล่องเรือที่ Milford Sound เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราจะกลับไปนอนที่ Queenstown กันอีกรอบ มีแวะเที่ยวระว่างทางไปเรื่อยๆ
The Chasm
ขับรถจาก Milford Sound มาประมาณ 15 นาที Track นี้เดินไม่นาน ไม่เกิน 20 นาที ไปเดินดูน้ำตก จุดที่เป็นไฮไลท์ตรงนั้นน้ำแรงมากๆ ทางเดินเขียวชอุ่ม เป็น Track สั้นๆ แต่เดินแล้วสดชื่นมาก



Mirror Lake
ออกจาก The Chasm ประมาณ 50 นาที Track นี้เดินเลียบริมทะเลสาบไปเรื่อยๆ เดินชิลๆ น้ำใสไหลเย็น เห็นเป็ดเต็มเลย ^ ^ เราโชคดีมากตรงตอนที่ไปลมไม่แรง เลยได้เห็นน้ำใสมาก


จุดถ่ายรูปป้าย Mirror Lake ที่ต้องมาถ่ายรูปนะจ๊ะ ตอนเราไปมีต้นไม้ขึ้นบนน้ำค่อนข้างเยอะ ยังดีมีรูให้สะท้อนอยู่นิดนึง ฮ่าฮ่า

เสร็จจาก Mirror Lake เราก็ตรงกลับ Queenstown วันนี้เราพักกันที่ Absoloot Value Accommodation ราคาคืนละ 2,800 บาท ที่พักอันนี้ดีทุกอย่าง ยกเว้นที่จอดรถ หาที่จอดลำบากหน่อย ดีสุดคือ ไปจอดแบบที่เสียเงินก็ได้ค่ะ เพราะว่าเราพยายามไปหาที่จอดตามถนนตามที่โรงแรมแนะนำ แล้วก็พลาดจ้า จอดต่อจากคนอื่นเค้า แล้วก็โดนปรับจอดรถในที่ห้ามจอดไป 60 NZD ร้องไห้เบาๆ งือๆ

หลังจากเข้าที่พัก ก็ไปเดินเล่นหาข้าวกิน ช้อปปิ้งกันเพลินๆ
Fergburger ร้านเบอร์เกอร์เจ้าดังของ Queenstown ใครมาก็ต้องมาลองแหละ คิวแน่นๆ กันตลอดทั้งวันจ้า

เบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่ เนื้อชุ่มฉ่ำ อร่อยยยยยยย มาก

ใครที่ซื้อ Fergburger สามารถเอาใบเสร็จไปเป็นส่วนลดที่ร้าน Bakery และ ร้านไอศกรีมข้างๆ ได้เลย ลด 10% จะบอกว่าอร่อยทั้ง Bakery ทั้ง Gelato Ice Cream เลยแหละ


Cookie Time
ร้านคุกกี้เจ้าดังของ New Zealand ในร้านมีทั้งคุกกี้และ Milkshake เลือกกันได้เลยตามสบาย แต่ว่าจะหวานหน่อยนะ Milkshake มีหลายเมนู หน้าตาเมนูมุ้งมิ้งมาก เลือกจากตัวอย่างแล้วสั่งพนักงานได้เลย



Day 8 Queenstown – Mt. Cook
เช้านี้จริงๆ เรามีจอง Sky Diving ไว้ แต่….อากาศปิดซะงั้น ทั้งๆ ที่เมื่อวานตอนจองเราเล็งแล้วว่า เช้านี้อากาศสดใส ได้โดดร่มชัวร์ แต่ก็อดไปจ้า เราก็เลยเดินเล่นเตร็ดเตร่ ริมทะเลสาบในเมืองเพื่อรอว่าอีก 2 ชั่วโมงจะโดดได้มั้ย แต่ก็ไม่มีวี่แวว เสียใจหนักมาก งือๆ เดินเล่นในเมืองใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีเยอะแล้ว สวยงาม



ก่อนออกจาก Queenstown เราแวะไปถ่ายรูป ชมวิวทะเลสาบ Wakatipu กันนิดนึง

ออกจาก Queenstown ร้านที่ห้ามลืมแวะ Mrs Jones’ Fruit Stall หรือที่เรียกกันว่า ร้านป้าโจนส์ ที่ Cromwell เป็นร้านขายทั้งผลไม้สด ผลไม้อบแห้ง และไวน์

ที่เราชอบสุดๆ คือ Real Fruit Ice Cream เค้าจะให้เลือกผลไม้แล้วใส่ลงไปในเครื่องทำไอศกรีม แล้วก็จะออกมาเป็นไอศกรีมหน้าตาแบบนี้เลย อร่อยล้ำ

ขับออกมาจากร้านป้าโจนส์ไม่นาน ระหว่างทางแนะนำให้แวะถ่ายรูปที่ Lake Dunstan กันหน่อย วิวคือสวยมากกกก แบบจอดรถแทบไม่ทัน โชคดีที่ตอนที่เราผ่าน ลมสงบมาก ทะเลสาบสะท้อนชัดยันก้อนเมฆ

มุ่งหน้าสู่ Mt Cook กันต่อ ก่อนเข้า Mt Cook เราจะผ่าน Lake Pukaki เป็นอีกทะเลสาบที่ต้องแวะ



และในที่สุดเราก็เข้าสู่ Mt Cook กันแล้ว


วันนี้เราพักที่ Mt Cook Lodge & Motels ราคาคืนละ 3,800 บาท ที่พักที่ Mt Cook มีไม่เยอะมาก และราคาก็ไม่ธรรมดา ที่นี่ราคาเป็นมิตรกับเราสุดละ อิอิ ดีที่เราได้ห้องวิวหันหน้าเข้า Mt Cook เปิดระเบียงห้องก็เจอ Mt Cook ตรงหน้าเลย

วันนี้เราไม่ได้ไปไหน เพราะถึงที่พักก็ช่วงเย็นๆแล้ว ไปเดินเล่นนิดหน่อยแล้วก็มากินข้าวที่เย็นโรงแรม

ช่วงกลางคืนพยายามออกมาอยากถ่ายรูปดาว แต่ด้วยความง่อยของเรานั้น ถ่ายมาได้ชัดสุดแค่นี้ ฮ่าฮ่า ที่เลวร้ายคือ อากาศหนาวมาก เปิดกล้องถ่ายได้ 3 แชะ แบตหมดไปอี้กกกก โอเคกลับไปนอนก็ได้ = =”

Day 9 Mt. Cook – Lake Takepo
เช้าวันนี้ไปเดิน Track ที่ Mt Cook กันเลย และแน่นอน Track ที่ห้ามพลาดของ Mt Cook ก็คือ Hooker Valley Track แต่…วันที่เราไปนั้นสะพานปิดจ้า ปิดกันตั้งแต่สะพานแขวนแรกเลย เนื่องจากฝนตกหนักก่อนหน้านี้ และมีน้ำท่วมทำให้สะพานด้านในเสียหาย เราเลยได้แค่เก็บภาพตรงสะพานแรกแค่นั้น มันช่างเป็นทริปที่น่าเศร้าใจจริงๆ T^T แค่วิวตรงสะพานก็สวยมากแล้ว เข้าไปข้างในคงงามมากอ่ะ



เสียใจกับ Hooker Valley กันพอประมาณ เราก็ไปหาเดิน Track อื่นแล้วกัน ใน Mt Cook มี track ให้เดินเยอะมากๆ เราเลือกเดินที่ Blue Lakes and Tasman Glacier
Blue lake แต่น้ำสีเขียวปิ้ดเลยจ้า เค้าก็มีป้ายอธิบายไว้นะ ว่าเมื่อก่อนมันก็เคยฟ้า แต่ว่าตอนนี้น้ำในนั้นไม่ได้มาจาก Glacier แล้วเป็นน้ำฝนตามธรรมชาติ น้ำก็เลยเป็นสีเขียวแบบนี้นั่นเอง

Tasman Glacier Walk
Track นี้จะมีทางแยกออกไปอีกว่าจะไปดู Tasman Glacier หรือ จะไปดู Tasman River เราเดินไปดูตรง Glacier ที่ละลายลงมา น้ำจะดูขุ่นขาวๆหน่อย เพราะว่าตอน Glacier ละลายลงมาก็จะปะปนพวกเศษหิน ดิน ทราย ลงมาด้วย เค้ามีทัวร์นั่งเรือพาลงไปดู Glacier ใกล้ๆด้วยแหละ



หลังจากมื้อเที่ยง ช่วงบ่ายเราจะไปขึ้น Helicopter เพื่อขึ้นไปดู Glacier กัน เรานี่จัดรอบใหญ่ไฟกระพริบ บินวนจาก Mt Cook ไปโฉบถึง Fox Glacier กันเลย ไหนๆ ก็ไม่ได้ Sky Diving และไม่ได้ขึ้น Helicopter ที่ Fox Glacier แล้วก็เลยจัดเต็มที่นี่ไปเล้ย
Tasman Glacier Helicopter Scenic Flight
เราได้ทำการจองทัวร์ชมวิว Glacier กันไว้ตั้งแต่เมื่อวาน แนะนำให้จองล่วงหน้าอย่างน้อยก่อนวันนึง ถ้า Walk In มาเลยอาจจะผิดหวังได้ เราจองแบบแพคเกจกลาง ใช้เวลาทั้งหมด 45 นาที จะได้ดูวิวของ Tasman Glacier, Fox Glacier และ Franz Joseph

เค้าจะลงจอดให้บน Tasman Glacier ซึ่งเป็น Glacier ที่ใหญ่ที่สุดใน New Zealand ให้เราลงไปถ่ายรูป วิ่งเล่นบนหิมะกันอย่างเพลิดเพลิน จากการสังเกตแล้ว การซื้อแพคเกจแบบรอบใหญ่นั้น สิ่งที่ได้มา คือ การได้ถ่ายรูปบน Glacier นาน แบบนานมาก และเราว่านานไป ฮ่าฮ่า ลำอื่นก็มาจอดแปบๆ ก็กลับกันละ

ประสบการณ์นั่งฮอครั้งแรก เสียวกว่าที่คิด คุณลุงคนขับจับสาดโค้งไปทีสองที กรี๊ดกันสนั่น ฮ่าฮ่า ลืมบอกว่า วิวข้างบนสวยมากกกก และได้เห็น Fox Glacier แบบโฉบๆ ไกลลิบๆ อิอิ


กลับลงมาก็ประมาณบ่ายสามโมงแล้ว เราจะเดินทางไปต่อกันที่ Lake Takepo ขับรถไปแค่ชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงแล้ว เอาของไปไว้ที่พักแล้วเราก็รีบไปที่ Church of the Good Shepherd และเดินเล่นรอบๆ Lake Takepo กัน

เป็นทะเลสาบที่น้ำสีฟ้าสวยมากจริงๆ ตัดกับสีใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสี




เราเดินเล่นกันจนค่ำๆ พระอาทิตย์ยังไม่ทันตก พระจันทร์ก็มาแล้ว

กินมื้อเย็นเรียบร้อย พยายามจะมาดูดาวที่โบสถ์ ที่ Lake Tekapo แต่ใช่จ้ะ พระจันทร์สว่างจ้า ไม่เห็นดาวเลย ฮ่าฮ่า กลับที่พักนอนอย่างสงบ
เรามีรูปที่พักมาฝากนิดนึง พักที่ EREBUS PLACE เป็น Air BNB ราคาคืนละ 3,900 บาท ค่าที่พักที่เมืองนี้แพงมาก Air BNB เท่าที่ดูส่วนมากราคาจะถูกกว่าโรงแรมทั่วไป ที่พักของเรา มีห้องประมาณ 4 ห้อง มีพื้นที่ส่วนกลาง และครัวกลางให้ ติดป้ายห้ามทำอาหารกลิ่นแรงๆ แต่….ตอนเข้าไปในบ้านคนดูแลบ้านยืนผัดกระเทียมกลิ่นท่วมเข้าไปยันห้องนอน อะไรคือห้ามทำอาหารกลิ่นแรง ฮ่าฮ่า

Day 10 Lake Takepo – Akaroa – Christchurch
หลังจากหาอาหารเช้ากินง่ายๆ เราแวะไปเที่ยวกันที่ Mt John Observatory กันนิดนึง ถ้าขับรถขึ้นไปเราต้องเสียค่าเข้าด้วยนะ จ่ายตรงทางขึ้นได้เลย ค่าเข้าต่อรถหนึ่งคันประมาณ 10 NZD ด้านบนมี Astro Café ให้ไปนั่งชิลๆ ชมวิวกันได้ ถ้าไม่อยากเสียเงิน จงเดิน แต่จ่ายเงินไปเถอะเพราะทางอย่างชันและไกลพอสมควร


หลังจากออกจาก Takepo เราไปก็มุ่งตรงไปกันที่ Akaroa เพื่อไป Shamarra Alpaca Farm กัน แต่ต้องขับรถกันยาวหน่อย ประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง แต่เพื่อน้อง Alpaca เราสู้ตายค่ะ ทางขับรถมาถึง Akaroa โอ้โห…โค้งแล้วโค้งอีก แต่วิวดีมาก สวยเกินคาด ขับรถเพลินเลย ให้อภัยที่โค้งเยอะขนาดนั้น

เรามาทันรอบเข้าชมฟาร์มพอดี อันนี้เราจองออนไลน์ผ่านหน้าเว็บของ Shamarra Alpacas ไว้เรียบร้อย ที่ฟาร์มเค้าจะมีเวลาให้เข้าชมเป็นรอบๆ 10.00, 12.00, 14.00, 16.00 ค่าเข้า 50 NZD ราคาก็ไม่เบา แต่บอกแล้วว่าสู้ตายฮ่ะ ที่ฟาร์มเค้าจะมีสินค้าจากขน Alpaca ขายด้วย


ในการเข้าชมฟาร์มเค้าจะมีบรรยายแยก ภาษาจีนกับภาษาอังกฤษ กลุ่มภาษาอังกฤษมีกัน 4 คน ได้ฟังกันแบบใกล้ชิด ช่วงแรกประมาณ 15 นาที เจ้าหน้าที่จะอธิบายเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับ Alpaca ให้เราฟัง จากนั้นจะให้เราไปให้อาหารและถ่ายรูปเล่นกับ Alpaca อย่างหนำใจ ทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ออกมามีของว่างกับเครื่องดื่มไว้บริการด้วย


Alpaca ทุกตัวมีชื่อ และเจ้าหน้าที่จำชื่อทุกตัวได้หมดเลย มีทั้งตัวเชื่อง ตัวดื้อ เจ้าหน้าที่จะคอยบอกเราว่าตัวไหนเข้าไปกอดได้ บางตัวนี่นอนให้ถ่ายรูปไม่กระดิกไปไหนเลย Cute มากกกกก บางตัวก็เดินหนีลูกเดียว

สำหรับเรามาที่นี่ถือว่าคุ้มมาก เพราะเราชอบ Alpaca มาก และได้ไปวิ่งเล่นกับ Alpaca อย่างใกล้ชิดสุดๆ ถ่ายรูปกันรัวๆ เค้าจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลเราตลอด เพราะเดี๋ยวจะโดนน้อง Alpaca ถีบเอาได้ ฮ่าฮ่า และการจะตามถ่ายรูปคู่กับเหล่า Alpaca อาจจะต้องออกแรงหน่อยนะ เพราะส่วนมากจะก้มหน้าก้มตากินหญ้าไม่ใยเราเท่าไหร่


หลังจากออกจาก Alpaca Farm เรามุ่งหน้ากลับ Christchurch เข้าที่พักที่ Juicy Snooze ราคาคืนละ 2,800 บาท เป็นคืนสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ที่ New Zealand เราเลือกพักที่นี่เพราะสามารถเดินไปสนามบินได้ เพราะพรุ่งนี้เราต้องออกกันตั้งแต่เช้าตรู่

ขอทิ้งท้ายที่ Christchurch ด้วย BBQ Brazil Churrasco เป็นร้านที่เราประทับใจที่สุดของทริปนี้ เราว่าอร่อยเลย หน้าตาหน้าร้าน

ถ้าใครจะไปแบบ Walk-in แนะนำให้ไปเร็วๆ หน่อย เพราะว่าส่วนมากจะโดนจองเต็มตลอด ร้านเปิด 5 โมงเย็น เราไปตั้งแต่ร้านเปิดเลย และได้โต๊ะของคนที่เค้าจองตอน 1 ทุ่ม พนักงานก็แจ้งเราก่อนว่าเราโอเคมั้ย รีบโอเคอย่างไว กลัวไม่ได้กิน แฮร่

ร้านนี้เป็นบุฟเฟ่ต์ กินได้ไม่อั้น ไม่จำกัดเวลา ราคาคนละ 49.50 NZD อาจจะราคาสูงหน่อย แต่สำหรับเราคุ้มมาก อาหารมีให้เลือกเยอะ หลักๆ เป็นประเภทย่างๆ เป็นเนื้อเสียบเหล็กยาวๆ ตามสไตล์บราซิล และมี Side Dish อีกเพียบ พนักงานจะเดินมาเสิร์ฟตามโต๊ะแล้วถามเราว่าจะรับมั้ย เสิร์ฟวนๆ ไปเรื่อยๆ และพนักงานบริการดีสุดๆ

ที่โต๊ะจะมีอุปกรณ์สีเขียว-แดงแบบนี้ ถ้าวางสีเขียวขึ้นหมายถึงให้มาเสิร์ฟชั้นด้วยนะ ถ้าเราหงายสีแดงขึ้นคือขอพอก่อน พนักงานก็จะไม่มารบกวนเรา

อาหารโดยรวมอร่อยเลย เนื้อดี หมักมาอร่อย มีทั้งไก่ หมู เนื้อ มีเมนูสลัดผักและข้าวด้วย เรานี่กินสับปะรดย่างๆไปอย่างเยอะ รู้สึกไม่ค่อยคุ้ม แต่มันอร่อยอ่ะ ฮ่าฮ่า


Day 11 Christchurch – Sydney
เช้านี้เราตื่นไปสนามบินกันตั้งแต่เช้ามืด เดินลากกระเป๋าไปจากที่พักเลย เพราะงกค่าแท็กซี่ อิอิ แต่เดินไม่ไกลมากประมาณ 15 นาที ทางก็ลากกระเป๋าได้สบายๆ ไม่ทุลักทุเล ขึ้นเครื่อง 7 โมงเช้า ไปถึงที่ Sydney 08.30 เราแวะเที่ยวที่ Sydney กันอีก 3 วัน ถ้าใครไม่เที่ยวต่อ ก็แวะต่อเครื่องที่ Sydney แล้วกลับไทยได้เลย
จบการรีวิว Road Trip ที่ New Zealand เกาะใต้แต่เพียงเท่านี้ เป็นรีวิวที่ยาวมากๆ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันนะคะ
อ่านต่อ รีวิวเที่ยว Sydney 3 วัน 2 คืน ก่อนกลับไทย
ติดตามรีวิวที่กิน ร้านอร่อย กันต่อได้ที่
FB : whateatit
IG : whateatit.bkk